เป็นอีกจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ที่ขอบอกว่า ไม่ไปไม่ได้แล้วจ้า เพราะตอนนี้เขาฮอตมากเลยทีเดียว นั่นคือจังหวัดสตูล
ที่ดังมากๆคือ“อุทยานธรณีสตูล” (Satun Geopark) ครอบคลุม 4 อำเภอของจังหวัดสตูล คือ ทุ่งหว้า มะนัง ละงู และอำเภอเมือง เป็นเทือกเขาหินปูน มีเกาะน้อยใหญ่ และชายหาดที่สวยงาม สัมผัสกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ความรุ่มรวยทางประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตผู้คนที่ผูกพันกับพื้นที่แห่งนี้
ผืนดินแห่งนี้ เป็นบันทึกหลักฐานของโลกใต้ทะเลเมื่อ 500 ล้านปีก่อน ที่อุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตยุคเก่า เกิดเป็นแหล่งสร้างออกซิเจนให้กับโลกในช่วงเวลานั้น ต่อมามีการยกตัวของเปลือกโลกก่อเกิดเป็นเทือกเขา และถ้ำ ซึ่งได้กลายเป็นบ้านหลังแรกของมนุษย์โบราณ ปัจจุบันผู้คนก็ยังดำรงชีวิตโดยใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของแผ่นดินนี้อยู่ และก่อเกิดเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่มีเอกลักษณ์
ด้วยความโดดเด่นทางธรณีวิทยา ภูมิประเทศและธรรมชาติของอุทยานธรณีสตูล ก่อให้เกิดกิจกรรมการท่องเที่ยวทางธรรมชาติหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวแนวผจญภัย เช่น ล่องแก่ง ดำน้ำ เที่ยวถ้ำ การท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่น้ำตก ชายหาด รวมถึงเลือกซื้อของฝากผลิตภัณฑ์ชุมชน และสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หลากหลาย
จนล่าสุดได้รับประกาศเป็น อุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) จึงยิ่งเป็นแหล่งที่มีคุณค่าด้านธรณีวิทยา โบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม ปัจจุบันทั่วโลกมีอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก จำนวนทั้งสิ้น 120 แห่ง ใน 33 ประเทศ โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอุทยานธรณีธรณีโลกของยูเนสโกแล้ว จำนวน 4 แห่ง ใน 3 ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย 1 แห่ง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม 1 แห่ง และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย 2 แห่ง ไทยได้เข้ามาล่าสุดคือที่สตูล
สถานที่เที่ยวมีมากมาย ทั้งถ้ำเลสเตโกดอน ถ้ำภูผาเพชร ปราสาทหินพันยอด(เกาะเขาใหญ่) สันหลังมังกร ซึ่งจากเดิมเมื่อพูดถึงจังหวัดสูตลเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะคิดถึงเกาะหลีเป๊ะ และเกาะตะรุเตา แต่ตอนนี้มีอีกหลายที่ขึ้นมาสวยโดนใจจนต้องอยากไปเยือน และเราได้มีโอกาสมาท่องเที่ยวโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคใต้
เริ่มไปเที่ยวกันเลยดีกว่าค่ะ
ขอนำไปสู่ไฮไลท์แรก ออกเดินทางสู่เกาะเขาใหญ่ เริ่มกิจกรรมพายเรือคายัค “ถ้ำลอดพบรัก” ก่อนเข้าสู่เกาะหินปูน “ปราสาทหินพันยอด” กับกิจกรรมแสนสนุกพายเรือคายัดเข้าสู่ประติมากรรมเกาะหินปูนล้านปีที่สุดสวยงาม
ปราสาทหินพันยอด นับเป็นไข่มุกเม็ดงามที่ซ่อนความสวยงามไว้อยู่ในทะเลสตูล ชั้นหินที่มีลักษณะเป็นเหมือนยอดปราสาทมีขนาดใหญ่เป็นชั้นๆ
เบื้องล่างคือน้ำทะเลใสสะอาดสีเขียวมรกต มีซอกมุมของหินให้ถ่ายรูปมากมาย
มองไปมองมาคล้ายผาช่อที่เชียงใหม่
สวยทุกมุมเลยค่ะ
ก่อนจะพายคายัคออกมากลับมาที่เรือเรา
จากนั้นเดินทางสู่อ่าวโต๊ะบ๊ะ แหล่งเรียนรู้เรื่องฟอสซิลและหินล้านปี จุดชมวิวที่สวยงามกับกิจกรรม “ตามหาหัวใจที่ปลายผา”
ค่อนข้างจะแอดเวนเจอร์เล็กน้อย กว่าจะเห็นจุดนี้ ต้องปีนป่ายผาสูงชัน ใช้ความระมัดระวังมาก
แต่เมื่อได้เห็นหัวใจและพื้นน้ำสีมรกตที่มองอยู่เบื้องหน้า ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง เราพิชิตได้แล้ว
ถัดไปคือ สันหลังมังกร อ่าวปากบารา หรือทะเลแหวกนั่นเอง ซึ่งสตูลมีสันหลังมังกรหลายจุด นี่คือหนึ่งในนั้นสันทรายที่โผล่ขึ้นเหนือน้ำมีความสวยงาม ช่วงเวลาน้ำขึ้นและลงก็จะทำให้ผืนทรายมีขนาดต่างกันออกไป
ว่าแล้วก็ต้องมาโดดถ่ายรูปแอคท่ากันหน่อย นำทีมโดยคุณนิธี สีแพร ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ ททท.
จากนั้นขึ้นฝั่งมาที่เขาโต๊ะหงาย เป็นภูเขาลูกโดดๆ มีสะพานเดินเท้าจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตราเลียบไปตามชายฝั่งผาชันด้านตะวันออก แล้วโค้งไปทางตะวันตกผ่านเขตรอยต่อระหว่างหินปูนสีเทากับหินทรายสีแดง ใช่แล้วเรากำลังไปชมเขตข้ามกาลเวลา
อยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา
เดินไปเรื่อยๆ
นี่คือชั้นหินที่ตัดกันระหว่างยุคหิน 2 ยุค คือหินปูนสีเทาในยุคออร์โดวิเชียน และหินทรายสีแดงในยุคแคมเบรียน โดยระนาบสัมผัสระหว่างกลุ่มหินทั้งสองนั้นเป็นระนาบรอยเลื่อนที่มีการวางตัวเอียงเทไปทางทิศตะวันออก ระนาบรอยเลื่อนถูกเรียกว่าเป็น “เขตข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงาย”
ชมพระอาทิตย์ตกที่นี่สวยจับใจ
มีหินรูปทรงแปลกตา
ต่อด้วยการไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล ซึ่งจัดแสดงในคฤหาสน์กูเด็น ที่สร้างขึ้นโดยพระยาภูมินารถภักดี หรือ ตวนกู บาฮุดดิน บินกูแมะ เจ้าเมืองสตูล ในสมัย ร.5 ระหว่างพ.ศ.2441 – 2459 เป็นสถาปัตยกรรมยุโรปแบบโคโรเนียล ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคราวเสด็จปักษ์ใต้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวปีพ.ศ.2484 ใช้เป็นกองบัญชาการทหารญี่ปุ่น หลังจากนั้นพ.ศ.2490 – 2509 ใช้เป็นศาลากลางจังหวัดสตูล ปลายปีพ.ศ.2509 ใช้เป็นโรงเรียนและเป็นสำนักงาน กอ.รมน.
กรมศิลปากร ได้บูรณะปรับปรุงอาคารคฤหาสน์กูเด็น ตั้งแต่ปีพ.ศ.2537 แล้วเสร็จปีพ.ศ.2542 และดำเนินการจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล มาจนถึงปัจจุบัน
สตูลนั้นยังมีอีกสถานที่คือมัสยิดมำบัง ตั้งอยู่บริเวณมุมถนนบุรีวานิชและถนนสตูลธานี กลางเมืองสตูล เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (ตนกูมูฮำหมัดอาเก็ม) เป็นเจ้าเมืองสตูล (ประมาณ พ.ศ. 2539) มีบันไดขึ้นหอคอย ลักษณะเป็นยอดโดม สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองสตูลได้ ส่วนในเป็นห้องโถงใหญ่ใช้เป็นที่ละหมาด ชั้นล่างมีห้องใต้ดิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่9 ได้เสด็จทรงเปิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2525
พวกเราไปเดินพิชิตกัน เตรียมไฟฉายไปด้วยนะคะ
เพดานถ้ำสูงโปร่ง ความงามของหินงอกหินย้อยที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ เมื่อกระทบกับแสงไฟจะมีประกายวาวเหมือนเพชร จนเป็นที่มาของชื่อถ้ำ
ภายในถ้ำจัดสรรแบ่งเป็นห้องต่างๆ 20 ห้อง มีไฟส่องสว่างตามทางเดิน มีการตั้งชื่อแต่ละห้องตามลักษณะของธรณีสัณฐานที่พบเห็น เช่น ห้องม่านเพชร ห้องพญานาค ห้องปะการัง
หินงอก ก็จะมีชื่อต่างๆ ตามรูปทรงที่พบเห็นมีมากถึง กว่า 30 ชื่อเช่น ดอกเห็ด ซุ้มประตู หัวแหวนเพชร สายน้ำเพชร หัวพญานาค พญานาคปรก เศียรพระ ดอกบัวคว่ำ
ถ้ำนี้วิจิตรตระการตาเกินคำบรรยาย จนหลงใหลในความงามมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
มีอีกหลายที่ที่ไม่ได้ไปในทริปนี้ แต่เราไปมาแล้วในช่วงหลายเดือนก่อน จึงขอนำเสนอเพื่อให้ครบรสการท่องเที่ยวสตูล
ว่ากันว่านี่คือมัลดีฟส์เมืองไทยที่จะทำให้คุณหัวใจละลายไปในพริบตา นั่นคือเกาะหลีเป๊ะ หาดทรายขาวจั๊ว น้ำใสแจ๋วมาก "อ่าวพัทยา" อันเป็นจุดจอดเรือนักท่องเที่ยว ที่นี่คือสรวงสวรรค์ของคนรักทะเลอย่างแท้จริง
รวมไปถึงอุทยานแห่งชาติตะรุเตา น้ำทะเลใสมากๆ
เราไปดำน้ำกับเพื่อนๆมาแล้ว
มีเกาะสวยๆหลายเกาะทั้ง เรานอนแอคท่าถ่ายรูป
มีทั้งเกาะไข่ ซุ้มประตูหินธรรมชาติ เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหินงาม มีใครสวยยอมแพ้ใครซะที่ไหน
หรือจะเที่ยวให้สนุกมากต้องไม่พลาด 2 ถ้ำนี้เลย
ถ้ำเล สเตโกดอน เป็นถ้ำที่อยู่ติดทะเล และมีน้ำทะเลท่วมขังตามการขึ้นลงของน้ำทะเล จึงเรียกว่าถ้ำเล และยังเป็นถ้ำเลที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทย เพราะมีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร ส่วนคำว่า “สเตโกดอน” คือชื่อของช้างดึกดำบรรพ์ เนื่องจากมีการพบฟอสซิลของช้างสเตโกดอนในถ้ำแห่งนี้ และพบหินรูปร่างแปลกตา จึงนำมาซึ่งการสำรวจถ้ำและค้นพบซากฟอสซิลอีกมากมาย
ถ้ำเจ็ดคต ลักษณะถ้ำคดเคี้ยวและทะลุผ่านภูเขา มีลำธารไหลผ่านภายในถ้ำสามารถล่องเรือภายในถ้ำได้ตลอดระยะทางเพื่อชมธรรมชาติและหินย้อย มีหาดทรายขาวระยิบระยับการเข้าชมสามารถใช้เรือคายัคและเรือยางสำหรับล่องแก่ง
ก่อนปิดท้ายทริปกับงานที่สุดยิ่งใหญ่ และสร้างความสุขให้ชาวสตูล ซึ่งททท.ร่วมกับจังหวัดสตูล จัดงานเฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในงาน Amazing Thailand Countdown 2019 @Satun Wonderful & Color วันที่ 30-31 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา
งานจัดภายใต้แนวคิด “นับถอยหลังข้ามกาลเวลา...สู่อุทยานธรณีโลกสตูล” งานนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ผู้คนมาเที่ยวล้นหลามทีเดียว
บริเวณจัดงานคือปากบาราวิวพ้อยท์ก็งดงาม
มีบรรยากาศกิ๊บเก๋
จากการจัดงานเคาท์ดาวน์ของททท.ที่สตูล ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองรองของททท.ที่กำลังโปรโมท
พิธีเปิดงานในครั้งนี้นำโดยคุณสมฤดี จิตรจง ,คุณนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าททท.และคุณนิธี สีแพร ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ ททท.
ภายในงาน Amazing Thailand Countdown 2019 @ Satun Wonderful & Color ประกอบด้วย การออกร้านของร้านค้าท้องถิ่นที่นำผลิตภัณฑ์ชุมชนและอาหารถิ่นให้เลือกซื้อกว่า 60 ร้าน อาทิ ข้าวผัดนอติลอยด์ ขนมผูกรัก ผ้าบาติก และไข่มุก ฯลฯ ทุกบูธขายดีกันอย่างมากมาย
ชิมอาหารทะเลสดๆ
มีขนมของสตูลอย่างขนมอาปุม
ขนมเจาะหูหรือเรียกอีกอย่างว่าเมซั่ม
ที่ฮอตที่สุดคืออุโมงค์ไฟฟอสซิลและซุ้มโคมไฟฟอสซิล ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาแห่ถ่ายรูปกันอย่างล้นหลาม และยังมีการจัดกิจกรรมวิ่ง Geo Night Run Satun 2018-2019 “วิ่งข้ามเวลา”
การแสดงบนเวทีตระการตา
ก่อนนำถอยหลังสู่การจุดพลุไฟสุดยิ่งใหญ่
สวยงามอลังการ
สาวน้อยถ่ายรูปกันสนุกสนาน
ไปสตูลต้องไปชิมของสตูลคือโรตี ซึ่งมีหลายร้านให้เลือก
รวมถึงชาชัก
ก่อนกลับต้องแวะชิมขนมบุหงาปูดะ ขนมพื้นเมืองของสตูล
ทำจากมะพร้าวและแป้งข้าวเหนียว
ซึ่งปกติจะทำกันในพิธีแต่งงาน เพื่อสื่อความหมายให้รักกันหวานชื่น
ถึงเวลาอำลา กับของดีมากมายของสตูล ปัจจุบันททท. เพิ่งเปิดสำนักงานสตูล โทร. 098 674 7518 และ TAT Call Center 1672 เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย
ขอขอบคุณททท.ภูมิภาคภาคใต้ สนับสนุนการเดินทางของ Travelista นักเดินทาง
จนกว่าจะพบกันใหม่ในทริปต่อไปค่ะ
#ชีพจรลงSouth #เที่ยวใต้...ไม่ได้มีดีแค่ทะเล